หลังจากหายหน้าไปนาน 14 ซีซั่นโดยเจ็ดซีซั่นเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในลีกดิวิชั่นสาม
ในที่สุด กาดิซ เครซี่ แก๊ง แห่งลีกกระทิงดุก็กลับคืนสู่ ลา ลีกา ได้สำเร็จแล้ว
แถมนับตั้งแต่คัมแบ็คสู่ลีกสูงสุดของประเทศ กาดิซ ก็สร้างผลงานได้เหนือความคาดหมายเช่นเดียวกับการเอนเตอร์เทนแฟนบอลทั้งบุกไปกำชัยเหนือ เรอัล มาดริด และพิชิต บาร์เซโลน่า พร้อมทั้งรั้งอันดับ 11 ของตารางหลังลงบู๊ในลีกได้ 15 นัด มีแต้มห่างจากพื้นที่ฟุตบอลยุโรปแค่ห้าแต้ม
เท่านั้นไม่พอ หากจะว่ากันถึงประวัติศาสตร์ของเมือง กาดิซ ก็ขึ้นชื่อในเรื่องการจัดงานคาร์นิวัลในแต่ละปีซึ่งกินเวลาสองสัปดาห์มาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16 แล้วโดยมีความสำคัญเป็นรองแค่งานอันสุดแสนอลังการประจำปีที่ ริโอ เดอ จาไนโร เท่านั้น
ในแง่ของสำเนียงภาษา แม้แต่คนในแคว้นอันดาลูเซียด้วยกันก็ยังเข้าใจสำเนียงของชาว กาดิซ ได้ลำบาก แต่ที่แน่ๆคนในเมืองนี้ขึ้นชื่อในด้านรักสนุก และนิยมเรื่องตลกขบขัน
จนกระทั่งในที่สุด ทีมฟุตบอลของเมืองก็ก้าวขึ้นมามีหน้ามีตาใน ลา ลีกา เรียบร้อยแล้ว
เลื่อนชั้นขึ้นมาได้ยังไง?
อัลบาโร่ เซร์เบร่า เข้ามาคุมทีมในปี 2016 โดยที่ กาดิซ ยังอยู่ในระดับดิวิชั่นสาม และพอจบซีซั่น พวกเขาก็กระโดดขึ้นสู่ เซกุนด้า อา ได้ จนในที่สุดสโมสรก็ปีนขึ้นสู่ลีกสูงสุดเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาโดยใช้เวลาสี่ปี
ฉะนั้นแล้ว ทีมนี้จึงสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของเขาได้อย่างแท้จริง พวกเขานำเสื้อทีมมาแขวนเอาไว้บนผนังของสนามซ้อม และห้องแต่งตัวของสนามแข่งขัน มันก่อให้เกิดแรงผลักดันของสโมสรด้วยคติพจน์ที่ว่า : ต่อสู้โดยไม่มีการต่อรอง
ย้อนเวลากลับไปในการแถลงข่าวช่วงซีซั่นที่สองของเขา นักเตะคนหนึ่งของเขาหายไปในระหว่างเข้าแคมป์เก็บตัว เขาอธิบายถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับเพราะเขามองว่าตัวเองเปิดกว้างมากพอเมื่อนักเตะต้องการเป็นอิสระ และด้วยเหตุผลง่ายๆก็คือเขาเองก็เคยเป็นนักเตะมาก่อน
“แต่” เขาเสริมด้วยประโยคเด็ดว่า “ต่อสู้โดยไม่มีการต่อรอง” และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา มันก็กลายเป็นวลีประจำสโมสร
ทีมของ เซร์เบร่า ไม่ได้เน้นลีลา หรือว่ามุ่งมั่นที่จะครองบอล เขาตระหนักดีว่า กาดิซ ไม่ได้มีนักเตะระดับคุณภาพที่จะครองบอลเพื่อการันตีการคว้าชัยชนะได้ แต่เขาเชื่อว่าวิธีการของเขาสามารถพาทีมกำชัยได้เช่นกัน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีซั่นนี้ พวกเขาตระหนักดีว่าไม่มีทางได้ครอบครองบอลเพื่อเป็นกุญแจนำไปสู่การเก็บสามแต้มได้เลย
เกมกับ บาร์เซโลน่า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เซร์เบร่า เน้นให้ทีมของเขาแพ็คเกมในแดนกลางด้วยการใช้งานมิดฟิลด์ตัวรับสามราย อเล็กซ์ เฟร์นานเดซ ซึ่งปกติเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกถูกขอให้สลับมารับภาระอีกด้านเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีนักเตะในตำแหน่งนั้นอย่างน้อยสองราย หากว่าใครคนใดคนหนึ่งหลุดไปจากตำแหน่ง
เมื่อมีป้อมปราการอย่างหนาขวางทาง ลิโอเนล เมสซี่ จึงไม่มีโอกาสพาบอลทะลุเข้าสู่พื้นที่อันตรายไปสร้างความเสียหายให้กับ กาดิซ ได้อย่างง่ายๆ
จนในที่สุด กาดิซ ก็ได้ฉลองใหญ่ในบ้านตัวเองด้วยการพิชิต บาร์เซโลน่า 2-1 โดยประตูของทีมยักษ์จากกาตาลันเกิดจากการสกัดบอลเข้าประตูตัวเองของนักเตะเจ้าถิ่นอีกด้วย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ เซร์เบร่า คือเขามีนักเตะที่เชื่อมั่นในปรัชญาของเขาอย่างเต็มเปี่ยมจนทำให้เขาสร้างทีมอย่างที่ต้องการขึ้นมาได้
ก่อนเฝ้าบ้านคว่ำ บาร์เซโลน่า กาดิซ สร้างปรากฏการณ์บุกไปพิชิตทั้ง แอธเลติก บิลเบา และ เรอัล มาดริด ด้วยสกอร์ 1-0 เช่นกัน และมันถูกพิสูจน์ให้เห็นว่าการสู้แบบสุนัขอย่างที่คนโบราณเรียกยังคงได้ผลเสมอ
กระนั้นก็ดี หลังได้เฮฮาเหนือ บาร์ซ่า นัดต่อมา พวกเขาก็มีฟอร์มในครึ่งแรกที่เลวร้ายนัดบุกไปเยือน เซลต้า บิโก้ ซึ่งพวกเขาตกเป็นรองถึง 4-0 และจากอากัปกริยาที่ฉุนเฉียวของ เซร์เบร่า ที่ข้างสนาม มันย่อมทำให้คุณรู้สึกหวาดหวั่นถึงความปลอดภัยของนักเตะเมื่อพวกเขาต้องเดินเข้าห้องแต่งตัวในช่วงพักครึ่ง
แต่เอาเข้าจริง ความโกรธที่ว่าก็ไม่เป็นอย่างที่คุณคิดเพราะแม้พวกเขาจะปราชัยในที่สุด 4-0 แต่มันก็เป็นฟอร์มที่เลวร้ายในครึ่งแรกเท่านั้น และพวกเขาต่อสู้อย่างเต็มที่ในครึ่งหลังจนควรค่าแก่การยกโทษให้
ทีมที่ไม่เคยเดินตามขนมธรรมเนียม
นักเตะที่โด่งดังที่สุดในทีม กาดิซ ได้แก่ มาจิโก้ กอนซาเลซ ศูนย์หน้าชาว เอล ซัลวาดอร์ ที่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ยกย่องว่าเป็น “หนึ่งในสิบนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นอย่างไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย”